การเดินทางสู่โลกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นไม่เพียงแค่การกระทำของบริษัทหรือองค์กรแต่ละแห่งเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับการกำหนดกฎหมายและมาตรฐานที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับโลก โดยเฉพาะในเรื่องของ Carbon Neutrality หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังพยายามบรรลุให้ได้
แนวโน้มของกฎหมายในประเทศและระดับโลกที่เกี่ยวกับ Carbon Neutrality
ในหลายปีที่ผ่านมา การที่ประเทศต่างๆ เริ่มมองถึงความสำคัญของการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ ทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก กฎหมายเหล่านี้มักจะมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และการใช้พลังงาน โดยหนึ่งในกรอบที่มีความสำคัญคือ Paris Agreement หรือข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศต่างๆ ที่กำหนดเป้าหมายให้ประเทศสมาชิกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อจำกัดการเพิ่มอุณหภูมิของโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
จากแนวโน้มดังกล่าว หลายประเทศจึงได้มีการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบังคับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป เช่น ประเทศอังกฤษที่มีการตั้งเป้าหมายในการเป็น Carbon Neutral ภายในปี 2050 ซึ่งส่งผลให้เกิดการพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ในการจัดการการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายในอุตสาหกรรมต่างๆ
มาตรฐานและใบรับรอง เช่น Carbon Trust, ISO 14067
ในส่วนของการรับรองมาตรฐานทางสิ่งแวดล้อม มาตรฐานและใบรับรองจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันธุรกิจให้เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน หนึ่งในมาตรฐานที่สำคัญคือ ISO 14067 ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการประเมินและการรายงาน คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีการกำหนดกรอบให้ธุรกิจสามารถคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนอกจากนี้ยังมีใบรับรองจากองค์กรต่างๆ เช่น Carbon Trust ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก ซึ่งมักจะออกใบรับรองให้กับองค์กรที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใบรับรองเหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นการรับรองในด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร ซึ่งในบางกรณีสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ
การได้รับมาตรฐานเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตขององค์กร ทั้งยังช่วยกระตุ้นให้บริษัทต่างๆ หันมาปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างยั่งยืนและให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
สรุป
การเคลื่อนไหวสู่การบรรลุ Carbon Neutrality ในระดับประเทศและโลกไม่ได้เป็นแค่เรื่องของนโยบายสาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างมาตรฐานและใบรับรองที่สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนให้กับธุรกิจและองค์กรต่างๆ ซึ่งในที่สุดแล้ว การร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชนจะทำให้โลกของเราก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและปลอดภัยจากผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้จริง